วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551








Europian Motorcycle มอเตอร์ไซด์ ยุโรป เวสป้า



ประเทศในทวีปยุโรปถือเป็นต้นกำเนิดของรถจักรยานยนต์ นับตั้งแต่การประดิษฐ์รถจักรยานยนต์คันแรกของ OTTO และการพัฒนาของทีมงาน Gottlieb Daimler และ Karl Benz ในเยอรมนี ซึ่งสามารถสร้างได้สำเร็จ แต่เสียดายที่รถต้นแบบถูกไฟไหม้ไปพร้อมๆ กับโรงงานในปี ค।ศ। 1903 และในช่วงปี ค।ศ। 1892 แฟลิกซ์ ธีโอดอร์ มิลเลอร์ นักค้นคว้าชาวอังกฤษ นำเอาเครืองยนต์ แบบ 5 สูบ ส่งกำลังโดยตรงจากห้องข้อเหวี่ยงลง สู่ดุมของวงล้อโดยตรง โดยมิลเลอร์ตั้งชื่อรถของเค้าว่า Stellar ในอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศอังกฤษยุคบุกเบิกในปลายศตวรรษที่ 18 Mr. John Boyd Dunlop ซึ่งเป็นลูกชายของบริษัทผู้ผลิตยางดันล๊อป ได้เข้ามา มีบทบาทเสริมในด้านการผลิตยานยนต์ ส่วนประเทศอิตาลี Mr Enrico Bernardi ได้นำเอาเครื่องยนต์ตัดหญ้ามาเป็นตัวต้นกำลังขับ-ผลักดันให้รถจักรยานธรรมดากลายเป็นรถจักรยานยนต์ได้สำเร็จ เป็นคนแรกของประเทศ อิตาลีในช่วง ปีค.ศ.1893 ค.ศ. 1895 มีการพัฒนาเครื่องยนต์ขนาดเล็ก เพื่อนำมาติดตั้งในพาหนะระดับย่อย ก็เริ่มได้จุดลงตัว โดย Mr De Dion สามารถ นำเอาเครื่องยนต์แบบสูบเดี่ยว 4 จังหวะ ลงมาติดตั้งในรถ 3 ล้อ ขนาดเล็กได้สำเร็จ ส่วนผู้ที่สร้างระบบจุดระเบิดสำหรับใช้กระตุ้นจังหวะงานของหัวเทียนดำเนินงานโดย Mr Robert Bosch ซึ่งต่อมาได้พัฒนาระบบไฟฟ้าทุกชนิดเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์จนกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ของวงการรถยนต์ และพาหนะเกือบทุกชนิดไปในปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงยุคปัจจุบัน ส่วนทางด้านอังกฤษ มีผลงานเด่นของ Raleigh ที่เริ่มผลิตรถจักรยานขายเป็นอุตสาหกรรมมาก่อน แล้วจึงนำเครื่องยนต์มาติดตั้งเอาไว้ที่แผงคอหน้า รถจักรยานในปี ค.ศ. 1899 ด้วยรูปทรงที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ จากยุค 1900 มาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลากว่า 100 ปีเศษที่วงการอุตสาหกรรมยานยนต์ของยุโรปก้าวเดินต่อมาด้วยแนวความคิดอันหลากหลายของ วิศวกรหลายชาติ และหลากหลายประเทศในทวีปยุโรป จนได้ผลิตรถจักรยานที่มีชื่อเสียง เช่น BMW(เยอรมัน), Moto Guzzi,Ducati(อิตาลี),Triumph,BSA,Norton และ Ariel(อังกฤษ) BMW เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1916 เมื่อวิศวกรเครื่องกลชาวเยอรมันสองคน คือ Carl Rapp และ Max Friz ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Bayerische Flugzkugwerkeag สร้างเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินในเยอรมันนีเพียงสองปีหลัง จากนั้น ในปี ค.ศ. 1918 บริษัทได้เปลี่ยนชื่อกิจการเป็น Bayerische Motoren Werkeag (BMW) กิจการ เจริญเติบโต และขยายตัวอย่างรวดเร็ว ปี ค.ศ. 1923 รถจักรยานยนต์คันแรกได้กำเนิดขึ้นหลังจากสงคราม สเปน-อเมริกัน คือ BMW R32 รถจักรยานยนต์ BMW ยังคงถูกผลิตออกมาโดยเริ่มจำหน่ายออกสู่ตลาดโลก และเป็นจุดเริ่มต้นของกิจการที่รู้จักกันดีทั่วโลกในช่วงหกทศวรรษต่อมา รถจักรยานยนต์ Ducati ได้กลายมาเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ได้เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1926 สามพี่น้อง Ducati เริ่มต้นจากการก่อตั้งธุรกิจบริษัทอุตสาหกรรมผลิตส่วนประกอบวิทยุกระจายเสียงก่อนที่จะหันเหมาผลิตรถจักรยานยนต์ Cucciolo ได้ถูกผลิตขึ้นและจำหน่ายเพื่อใช้เป็นองค์ประกอบในการติดตั้งจักรยานต่อมาได้ถูกพัฒนาเพื่อใช้กับรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก ทำให้ Ducati ได้รับการยอมรับ ปี ค.ศ. 1952 Cruiser 175 cc ได้กำเนิดขึ้น ตามมาด้วย Spartan 98 cc ในปี ค.ศ. 1953 และเปลี่ยนเป็น 125 cc ในเวลาต่อมา ปี ค.ศ. 2001 Ducati ได้สูญเสีย Bruno Ducati หนึ่งในสามพี่น้องผู้ร่วมก่อตั้ง Ducati แต่ความฝันของ Ducati ยังคงดำเนินต่อไป ปัจจุบัน Ducati ยังคงเป็นที่รู้จัก และได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ส่วนเวสป้า เป็นรถมอเตอร์สกู๊ตเตอร์ เริ่มต้นผลิตในประเทศอิตาลีหลังจากที่มีการเริ่มต้นผลิตรถ Scooter ขนาดเล็กตามมาด้วยรุ่นที่มีชื่อว่า Vespa(Wasp) ในเวลาต่อมาซึ่งรุ่นนี้มีความก้าวหน้ามากทั้งด้านรูปทรง และวิศวกรรม ต่อมาได้กลายเป็นต้นแบบของ Vespa ที่มีการวางจำหน่ายในท้องตลาดจนถึงปัจจุบัน






การผลิตรถจักรยานยนต์ในประเทศญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 โซอิชิโร่ ฮอนด้าได้ก่อตั้งบริษัทฮอนด้าขึ้นเพื่อพัฒนาการผลิตรถจักรยานติดเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับ ซูซูกิ ได้พัฒนารถจักรยานติดเครื่องยนต์ให้มีความทันสมัยมากขึ้นโดยเพิ่มระบบเกียร์ และตัวถีบเพื่อให้มีพลังในการขับเคลื่อนมากขึ้น นอกจากบริษัทฮอนด้าแล้วยังมีบริษัทยักษ์ใหญ่อีก3 บริษัทที่มีบทบาทต่อวงการรถจักรยานยนต์ของญี่ปุ่น บริษัทที่เก่าแก่ที่สุด คือ ยามาฮ่า ก่อตั้งขึ้นในปี 1887 โดยในยุคแรกเริ่มเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องดนตรีประเภทเปียโนและออแกน ก่อนที่จะหันมาผลิตรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้น ในปี 1896 คาวาซากิ ซึ่งมีประสบการณ์ในด้านอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องยนต์ด้านอากาศยาน ได้เข้ามาในวงการรถจักรยานยนต์ของญี่ปุ่น และในปี 1909 ซูซูกิ ซึ่งเคยดำเนินธุรกิจสิ่งทอ ได้หันเหความสนใจมาที่ตลาดใหม่ คือ รถจักรยานยนต์
วงการรถจักรยานยนต์ของญี่ปุ่นมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยในปี 1950 คาวาซากิ ได้ทำการผลิตรถจักรยานยนต์ที่สามารถวิ่งได้ต่อเนื่องเป็นระยะทาง 50,000 กม. ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้คาวาซากิเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายมากขึ้น อุตสาหกรรมยานยนต์ของญี่ปุ่น รถจักรยานยนต์ ขนาดเล็กเพื่อเจาะตลาดในกลุ่มอเมริกา และยุโรป โดยในปลายปี 1950 รถจักรยานยนต์ญี่ปุ่น เริ่มจำหน่ายในอเมริกาเป็นครั้งแรก โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมคือ Honda C100 Super Cub ปี 1959 ซึ่งมียอดจำหน่ายมากกว่า 50 ล้านคันทั่วโลก ในช่วงเวลาเดียวกับบริษัทผู้ผลิตใน ญี่ปุ่นได้ทำการพัฒนารถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการแข่งขัน ในปี 1961 Mike Hailwood ทำให้ ฮอนด้าชนะการแข่งขัน TT Race เป็นครั้งแรก และชนะการแข่งขัน World Championships ในรุ่น 125 cc. ทำให้ชื่อเสียงของฮอนด้าเป็นที่รู้จักในสนามแข่งรถทั่วโลก และบริษัทผลิต รถจักรยานยนต์ของญี่ปุ่นอื่นๆ ทั้ง คาวาซากิ ซูซูกิ และยามาฮ่า ก็ได้สร้างชื่อเสียงในการแข่งขันรถจักรยานยนต์ระดับโลกเช่นกัน และจากความสำเร็จในด้านความเร็วของรถจักรยานยนต์ญี่ปุ่น ทำให้รถญี่ปุ่นเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น เกิดการเติบโตอย่างรวดเร็วของ รถจักรยานยนต์ญี่ปุ่นที่ใช้ในการขับขี่บนท้องถนน นวัตกรรมใหม่ๆ ในการผลิตรถจักรยานยนต์ของรถญี่ปุ่นเริ่มเกิดขึ้น โดยในปี 1968 ยามาฮ่า เป็บริษัทแรกที่ผลิตรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และรถวิบาก รถ DT-1 Enduro ได้รับความสนใจมากในอเมริกา ในขณะที่ฮอนด้า ผลิตรถ Gold Wing ซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์คันแรกที่มีแอร์แบ็ค ในปี 2006
ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่ก้าวสู่ตลาดผลิตรถยนต์สู่ตลาดโลกในช่วงหลังของปี ค।ศ. 1950 ชื่อของรถจากประเทศญี่ปุ่น ก็เริ่มต้นดับรัศมีแนวความคิดเดิมๆ ของรถยุโรป ลงอย่างสิ้นเชิง และแน่นอนว่าชื่อของ Honda,Yamaha,Kawasaki และ Suzuki คือ 4 ในกระแสความนิยมสูงสุดที่ยังหลงเหลือผู้ผลิตรถจักรยานยนต์สู่ตลาดโลกอยู่เพียงไม่กี่แห่ง จากหลายร้อยยี่ห้อที่มีการผลิตรถในยุคก่อนสงครามโลกจะจบลง ปัจจุบัน ฮอนด้า คาวาซากิ ซูซูกิ และยามาฮ่า ได้ทำการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมียอดขายทั่วโลก และยังเป็นที่นิยมทั้งในยุโรปและเอเชีย และยังเป็นรถที่ได้รับการยอมรับในวงการแข่งขันรถจักรยานยนต์ในระดับโลก























รถที่ได้รับรางวัล จากงานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 32